ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไม พระอภัยมณี เป่าปี่.?  (อ่าน 772 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28984
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ทำไม พระอภัยมณี เป่าปี่.?
« เมื่อ: มิถุนายน 27, 2020, 06:04:51 am »
0
รูปหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาส ชุด พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย (ภาพจากหนังสือ พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่)


ทำไม พระอภัยมณี เป่าปี่.?

วันที่ 26 มิถุนายนเป็นวันเกิดของ สุนทรภู่ อาลักษณ์ที่มีความสามารถเชิงกวี สุนทรภู่มีผลงานแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับมากมาย เมื่อปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม จึงถือเอาวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันสุนทรภู่” เป็นวันสำคัญด้านวรรณกรรมของไทย

ผลงานเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่คือ “พระอภัยมณี” ซึ่งมีเค้าโครงเรื่องสนุก จินตนาการล้ำยุค ตัวละครจากหลากหลายชนชาติ ฯลฯ ตัวเอกของเรื่องคือพระอภัยมณีมีความสามารถในวิชาปี่ พระอภัยเป่าปี่หลายต่อหลายครั้งเพื่อการศึก, เกี้ยวสาว ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่มีการกล่าวถึงกันมากมาย

สมชาย พุ่มสอาด ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวจำนวนครั้งที่พระอภัยเป่าปี่และอธิบายเหตุที่เป่า เขียนไว้ใน บทความชื่อ“ปี่พระอภัย” โดย ตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมิถุนายน 2527 ที่หลายท่านว่า พระอภัยเป่าปี่ 10 ครั้ง แต่สมชาย พุ่มสอาด ค้นคว้าและสรุปว่า พระอภัยเป่าปี่ 13 ครั้ง ซึ่งขอคัดย่อและเรียบเรียงมานำเสนออีกครั้งเพื่อระลึกถึงสุนทรภู่เนื่องในสุนทรภู่


รูปหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาส สุนทรภู่ ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย (ภาพจากหนังสือ พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่)

เป่าปี่ครั้งที่ 1. พระอภัยเป่าปี่ครั้งแรกตอนเรียนวิชากับท่านศาสตราจารย์ดร.ทิศาปาโมกข์อธิการบดีแห่งจันตคาม University หลังจากที่ฟัง Lecture ภาคทฤษฎีแล้วอาจารย์ก็พาไปเรียนภาคปฏิบัติ

       “แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่   ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
        แต่เสือช้างกลางไพรถ้าได้ยิน   ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง”

เป่าปี่ครั้งที่ 2. เมื่อพระอภัยมณีและศรีสุวรรณถูกขับไล่ออกจากเมืองมาพบกับ 3 พราหมณ์ซึ่งสงสัยว่าไปเรียนทำไมวิชาปี่ พระอภัยจึงอธิบายให้ฟังว่า

     “ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช   จตุบาทกลางป่าพนาสิน
      แม้ปี่เล่าเป่าไปให้ได้ยิน   ก็จุดสิ้นโทโสที่โกรธา
      ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ   อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
      ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์   จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง”

      ส่วนเพลงปี่ที่ใช้ก็กล่าวว่า
     “ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย   ยังไม่เคยได้ชิดพิสมัย
       ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย   จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย”

ผลก็คือ ทั้งคณะหลับกันหมดส่วนนางผีเสื้อสมุทรที่ได้ยินแล้วไม่หลับเพราะไม่ใช่มนุษย์ครุฑเทวดาและสัตว์ 4 เท้า แต่เป็นอมนุษย์ จึงไม่เข้าข่าย

เป่าปี่ครั้งที่ 3. ตอนที่ 14 เมื่อนางผีเสื้อสมุทรตามอาละวาดด้วยความแค้นที่พระอภัยหนีมาจึงเที่ยวทำร้ายผู้คน พระอภัยต้องเป่าปี่ให้นางขาดใจตาย  ก่อนที่จะเป่าปี่พระอภัยบอกให้พรรคพวกของตนเอาน้ำลายมาอุดหู ตัวเองก็ลาเพศฤษี เพื่อจะได้ไม่ทุศีล แล้วเริ่มภาวนาคาถาอาคมตามตำรับไสยเวทก่อนจะลงมือเป่าปี่

      “แล้วทรงเป่าปี่แก้วให้แจ้วจับใจ   สอดสำเนียงนิ้วเอก วิเวกหวาน
       พวกโยคีผีสางทั้งนางมาร   ให้เสียวซ่านวาบวับจับหัวใจ”

       ฝ่ายนางผีเสื้อสมุทรเมื่อได้ยินเพลงปี่
      “แต่เพลินฟังนั่งโยกจนโหงกหงุบ   ลงหมอบซุบซวนซบสลบไสล
       พอเสียงปี่ที่แหบหายลงไป   ก็ขาดใจยักษ์ร้ายวายชีวา”

@@@@@@

เป่าปี่ครั้งที่ 4. ตอนที่ 18 พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรนเป่าปี่เรียกสินสมุทร

      “พระเป่าปี่เปิดเสียงสำเนียงเอก   เสนาะดังฟังวิเวกกังวานหวาน
       ละห้อยหวนครวญเพลงบรรเลงลาน   โอ้สงสารสุริย์ฉายจะบ่ายคล้อย
       ที่คลาดแคล้วแก้วตามาว้าเหว่   ท้องทะเลแลเปล่าให้เศร้าสร้อย
       ป่านนี้น้องสองคนกับลูกน้อย   จะล่องลอยไปอยู่หนตำบลใด
       สินสมุทรไม่มาหาบิดาเลย   พ่อจะเชยใครเล่าเจ้าพ่ออา”

     สินสมุทรได้ยินเสียงปี่ก็รู้ทันทีว่าพ่อเรียกหา ก็รีบเดินทางมาทันที

เป่าปี่ครั้งที่ 5. ตอนที่ 27 เป็นการเป่าปี่เพื่อจับเจ้าละมานที่อาสามาตีเมืองเพราะหวังในตัวนางละเวงพระอภัยทราบข่าวก็สั่งให้ตีกรงเหล็กรอไว้ขังเจ้าละมานเมื่อยกทัพมาถึงว่าแล้วพระอภัยก็เป่าปี่

     “หยิบปี่แก้วแล้วชูขึ้นบูชา   พอลมมาเพลาเพลาทรงเป่าพลัน
      เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก   หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์
      ให้ชื่นเฉื่อยเจื่อยแจ้วถึงแก้วกรรณ   เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ
      ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก   เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ
      เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ   ล้มลงหลับลืมกายดังวายปราณ”

เหตุการณ์ตอนนี้มีบางท่านว่าคล้ายประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 3  ตอนจับตัวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์มาขังไว้ที่สนามหลวงเนื่องจากคิดขบถ

เป่าปี่ครั้งที่ 6. ตอนที่ 30 พระอภัยตีเมืองลังกา นางละเวงวางกลดักพระอภัย พระอภัยเสียทีแต่เมื่อตั้งสติได้ก็หยิบปี่ขึ้นมาเป่าแก้สถานการณ์

     “ตกพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี   จึงทรงปี่เป่าห้ามปรามณรงค์
      วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น   คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง
      ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง   ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
      พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต   ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
      ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง   อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแงคอย

      ……………………………………………………………………
      วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่   พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง
      ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง   เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป”


อนุสาวรีย์สุนทรภู่ และพระอภัยมณี ที่จังหวัดระยอง

เป่าปี่ครั้งที่ 7-9. (เป่าปี่ 3 ครั้ง) ตอนที่ 31 พระอภัยเป่าเรียกนางละเวง

      “แล้วนึกได้วิชาพฤฒาเฒ่า   จะลองเป่าปี่ประโลมนางโฉมศรี
       ให้งามสรรพกลับมาให้พาที   แล้วทรงปี่เป่าเกี้ยวประเดี๋ยวใจ”

       พอนางละเวงได้ฟังเพลงปี่ก็
      “คิดกำหนัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์   นั่งนึกน่าจะใคร่ปะพระอภัย
       เอพูดดีปี่ดังฟังเพราะ   จะฉอเลาะลูบต้องทำนองไหน”

แล้วนางละเวงก็มาหาพระอภัย พอนางละเวงมาถึงพระอภัยก็วางปี่เข้าคว้าไขว่ นางละเวงพอรู้สึกตัวก็ขับม้าหนีไป พระอภัยเป่าปี่อีก นางก็ไม่กลับมาเหนื่อยไปเอง

เป่าปี่ครั้งที่ 10. พระอภัยก็เป่าปี่ปลุกทัพถ้าไม่เป่าปี่มีหวังยุ่งชุลมุนกันตายเพราะคนทั้งสองทัพตกจำนวนแสนมาหลับกันหมดถ้าหากจะปล่อยให้ตื่นเองคนละทีสองทีก็อาจเหยียบกันตายไม่รู้ว่าชาวฝรั่งชาวไทยคนจะสับสนน่าดูจะบังคับบัญชากันไม่ติดนางละเวงจึงขอร้องให้พระอภัยปลุกทัพคือให้ตื่นก่อนกำหนดโดยการเป่าถอนอำนาจปี่

     “ดำริพลางทางลงแล้วทรงปี่   เรียกโยธีไพร่นายทั้งซ้ายขวา
      ให้วาบแว่วแก้วหูรู้วิญญาณ์   ต่างลืมตาตกใจทั้งไพร่นาย”

@@@@@@

เป่าปี่ครั้งที่ 11. ตอนที่ 35 นางยุพาผกาทำอุบายให้พระอภัยเป่าปี่ ตอนติดท้ายรถเข้าเมืองลังกา

     “พระฟังคำรำลึกพอนึกได้   ดีพระทัยที่จะชมประสมสอง
      หยิบขี้ผึ้งที่เธอทำขึ้นสำรอง   โยนให้ย่องตอดบ้างทั้งธิดา
      อันปรอทหยอดหูสู้ไม่ได้   มันเหลวไหลเข้าในหนังในมังสา
      แล้วแลดูสุริยนพอสนธยา   หยิบปี่มาเป่าเพลงวังเวงใจ”

พอนางหลับหมดพระอภัยก็ปลอมตัววเป็นนางละเวงนั่งรถเข้าลังกาสบายไป

เป่าปี่ครั้งที่ 12. ตอนที่ 44 ชั้นลูกหลาน พระอภัย ศรีสุวรรณ เกิดรบทัพชุลมุนวุ่นวาย พระอภัยจึงเป่าเรียกนางละเวงและกองทัพทังหมด

    “แล้วพระองค์ลงจากม้าที่นั่ง   ขึ้นหยุดยั้งอยู่บนเนินเชิงเทินผา
     คิดรำพึงถึงลูกสาวเจ้าลังกา   หยิบปี่มาเป่าดังเป็นกังวาน
     แต่ไม่ให้ไพร่พลผู้คนหลับ   ให้วาบวับแว่วเพลงวังเวงหวาน
     วิเวกโหวยโหยไห้อาลัยลาน   โอ้ดึกป่านนี้แล้วแก้วกลอยใจ”

เรื่องร้อนถึงพระฤษีเกาะแก้วพิสดารต้องมาเทศน์โปรดจนเกิดความสามัคคีกันแก่ทัพทั้ง 2 ว่า

      “กูคนซื่อถือสัตย์จะตัดสิน   ให้หายสิ้นโมโหที่โทษา
       ด้วยแรกเริ่มเดิมนั้นนางวัณฬา   จะลวงฆ่าพระอภัยเสียให้ตาย
       ข้างโน้นมีปี่เป่าเป็นเจ้าเล่ห์   ฝ่ายข้างนี้มีเสน่ห์เหมือนนึกหมาย
       แต่สตรีดีกว่าจึงพาชาย   ให้หลงตายติดขังอยู่วังใน”

เป่าปี่ครั้งที่ 13. ตอนที่ 61 พระอภัยเป่าปี่ครั้งสุดท้ายเนื่องจากลูกหลานเกิดรบกันอีก ร้อนถึงพระอภัยต้องเป่าปี่จับวลายุกาวายุพัฒน์หัสกัน

     “ฝ่ายองค์พระอภัยเห็นใกล้คํ่า   จึงวักน้ำลูบปี่อธิษฐาน
      เป่าเสียงสูงฝูงคนเหลือทนทาน   ก้องกังวานวาบวับเสียวจับใจ”

@@@@@@@

แน่นอนการเป่าปี่แต่ละครั้งแสดงถึงความรู้ความสามารถของพระอภัย ซึ่งสมชายพุ่มสอาดอธิบายไว้ว่า

“อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ ในระดับแรกเป็นความรู้ในทางปฏิบัติจริงๆ นั่นก็คือ ความชำนาญในการเป่าปี่หรือดีดพิณ ซึ่งมีลักษณะเดียวกับการรบพุ่งและการนี้ก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ดี คือ ปี่ที่เป่า เพราะเสนาะเสียง ยินสำเนียงถึงไหนก็ใหลหลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จอันแรกนี้ย่อมขึ้นกับความรู้ในระดับที่สอง นั่นก็คือ ความรู้ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ คือ รูป รส กลิ่น เสียง เคียงสัมผัส เพื่อว่าจะได้ เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคนได้…”




เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ : เมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ.2560
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_10298
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 27, 2020, 06:28:06 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ