จุดจบนาลันทา..จุดจบพุทธศาสนาในอินเดีย
ป้อมปราการที่นี่ช่างน่าแปลก นักรบทุกคนล้วนห่มเหลือง....เมื่อเราเอาดาบฟันคอ คนแล้ว...คนเล่า ก็นั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ร้องขอชีวิต ไม่โอดครวญ... วันนี้เราไปเที่ยวอินเดียกันครับ...เหตุมาจาก เมื่อคืนนั่งฟังท่าน ป.อ. ปยุตฺโต กล่าวถึงการเดินทางนำหมู่คณะผู้ร่วมจาริกบุญ ไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนายังประเทศอินเดีย และท่านได้บรรยายถึงสถานที่ต่างๆไว้น่าสนใจมาก ชื่อว่า จาริกบุญ จารึกธรรม ผมเลยขอถือโอกาสนำมาเล่าต่อเป็นธรรมทานแล้วกันนะครับ
เดิมทีเดียวมหาวิทยาลัยนาลันทานั้นเป็นวัดนะครับ วัดแรกสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ราวพุทธศตวรรษที่ 3 และจากนั้น พระราชาในราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกก็สร้างต่อๆกันมา รวมทั้งสิ้น หก วัด หรือ หกวิหาร (ในภาษาบาลีวิหารแปลว่าวัด) เรื่องที่มาของมหาวิทยาลัยนาลันทา ก็ยังไม่แน่นอนนะครับ บางตำราท่านก็ว่าสร้างตั้งแต่ ศตวรรษที่ 1 หรือจริงๆแล้วก็สร้างต่อเติมกันมาเรื่อย จนไม่รู้ว่าใครสร้างก่อนใคร สมัยใดแน่ พอมีวิหารมาอยู่รวมกันเข้าหลายๆวิหารก็เลยกลายมาเป็นมหาวิหาร เป็นที่ๆพระสงฆ์ได้เข้ามาบวชเรียนศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์สืบต่อกันมา และที่นาลันทาแห่งนี้ เป็นบ้านเกิดของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธองค์ พระสารีบุตรท่านทรงดับขันธนิพพานที่เมืองนาลันทาอันเป็นบ้านเกิด ก็เพื่อจะโปรดโยมแม่ให้หันมานับถือพุทธศาสนาก่อนที่ท่านจะดับขันธนิพพาน
พระสารีบุตรนั้น ท่านเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส อย่าลืมว่าในอินเดียสมัยนั้นลัทธิพราหมณ์เป็นใหญ่นะครับ เขามีการแบ่งชนชั้นตามวรรณะกันชัดเจน อย่างพวกวรรณะศูทร มีข้อบังคับทางสังคมระบุไว้เลยว่า ถ้าพวกศูทรริไปอ่านคำภีร์พระเวท ก็ให้ตัดลิ้น ถ้าฟังก็ให้ตัดหู หรือถ้าเรียนพระเวท ก็ให้ผ่าตัวเป็นสองซีก ดังนั้น พวกวรรณะชั้นต่ำของอินเดียเลยไม่มีโอกาสทางการศึกษา และการบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาก็เป็นช่องทางหนึ่งที่เหล่าเด็กๆจะได้ศึกษา และการนี้นั้น พระสารีบุตรท่านให้การศึกษาแก่เด็กๆกำพร้า เด็กยากจนมาเสมอ และควรทราบว่า พระสารีบุตรท่านเป็นผู้ที่บวชให้พระราหุล พระโอรสของพระพุทธองค์เมื่อสมัยเป็นเจ้าชาย
ดังนั้น นาลันทาเมืองที่เป็นบ้านเกิดของท่านพระสารีบุตร จึงเจริญด้วยความรุ่งเรืองด้านการศึกษามาโดยตลอดหลายร้อยปี พระถังซำจั๋ง ที่เรารู้จักดีก็ศึกษาและได้เป็นผู้บริหารของที่นี่ด้วย ความเจริญของนาลันทานั้น ส่วนหนึ่งมาจากพระราชาองค์ต่อๆมาให้การดูแลอุปถัมภ์นาลันทามหาวิหารแห่งการเรียนรู้ของพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ภาษีที่เก็บมาได้ส่วนหนึ่งก็นำมาให้ที่แห่งนี้ใช้ในการศึกษา พระสงฆ์จึงเรียนรู้ได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องปัจจัยสี่
ต่อมาภายหลัง ลัทธิพราหมณ์เริ่มที่จะปรับตัวจนกลายมาเป็น ฮินดู การปรับตัวนั้นก็เพื่อต่อสู้กับการเจริญเติบโตของพุทธศาสนา จากลัทธิพราหมณ์ที่ไม่มีนักบวช ก็มี ไม่มีวัด ก็มี จากการเข่นฆ่าบูชายันต์สัตว์ ก็หันมานับถือสัตว์บางประเภทและประกาศไม่กินเนื้อ เช่น วัว และพระพุทธเจ้าก็กลายเป็นอวตารหนึ่งของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ด้วยความที่ชาวพุทธไม่ค่อยถือสาหาความอะไรมากนัก สังคมพุทธกับฮินดูเลยอยู่กันอย่างกลมกลืนมาโดยตลอด ฮินดูนั้นอยู่อย่างกลมและค่อยๆกลืนศาสนาพุทธไปทีละน้อย ถึงขนาดที่ว่า นักบวชฮินดูท่านหนึ่งซึ่งปฏิวัติรูปแบบพราหมณ์ให้ทันสมัยขึ้นเพื่อสู้กับพุทธนั้น ก็เรียนวิชาความรู้ต่างๆนั้นมาจากนาลันทานั่นเอง เห็นมั้ยครับว่า มีการแฝงตัวเป็นจารชนตั้งแต่โบราณ
เมื่อนาลันทามีความเจริญรุดหน้ามากขึ้น พระสงฆ์ในชนบทต่างๆ ก็อยากที่จะเข้ามาศึกษาธรรมะให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาบ้าง ต่างก็พากันละทิ้งวัดวาอาราม ทิ้งชาวบ้านรอบๆวัด เข้ามายังนาลันทา ทีนี้ วัดพุทธกับวัดฮินดูโดยมากจะอยู่ไม่ไกลกัน พอวัดพุทธมีพระน้อย เอ้า...ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระฮินดูเข้ามาช่วยรักษาดูแลวัดให้ ดูไป ดูมา ก็กลายเป็นวัดฮินดูไปในที่สุด นี่คือยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองหรือเปล่าต่อมาภายหลัง มีนักศึกษาในนาลันทามากขึ้น การเรียนการสอนก็เริ่มมีหลากหลายขึ้น และศาสนาพุทธเอง ก็เริ่มอ่อนแอลง
ในอดีตนาลันทาเคยเป็นสถานที่สำหรับสอนพุทธศาสนาสายเถรวาท หรือหินยาน แต่ต่อมาก็กลายไปเป็นที่สอนในนิกายมหายาน ส่วนสายเถรวาทที่มีความเข้มแข็งก็ถูกทำให้ล่าถอยจนไปตั้งอยู่ที่ศรีลังกา ก่อนจะมาสู่ประเทศไทย ศาสนาพุทธในสยามจึงเรียกว่าสายลังกาวงศ์ ก็คือมาจากศรีลังกา ในสยามนั้นก่อนหน้านี้ มีศาสนาพุทธเข้ามาแล้ว แต่ผ่านมาทางอาณาจักรศรีวิชัย (อินโดนีเซีย มาเลซีย ในปัจจุบัน) ซึ่งเจริญมากในทางตอนใต้ของไทยในปัจจุบัน แต่ก็อ่อนแอลงไปและสุดท้ายอิสลามก็เข้ามาปกครองอาณาจักรศรีวิชัยในที่สุด
ส่วนที่นาลันทา ด้วยการเมืองและการครอบงำทางสังคมผ่านฮินดูที่ปรับตัวและใกล้ชิดประชาชนได้ดีกว่าพระสงฆ์ในศาสนาพุทธที่ย้ายไปเรียนที่นาลันทาเสียส่วนใหญ่ ประกอบกับพุทธบริษัทมีความอ่อนแอ พระสงฆ์ในระยะหลังๆละเลยพระธรรมวินัยถึงขนาดมีนิกายตันตระที่ให้พระเสพกามได้ อุบาสก อุบาสิกาเองก็ไม่สนใจใยดีศาสนา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ฝ่ายเดียว เมื่อพุทธบริษัทที่พระพุทธองค์ทรงหวังที่จะให้ช่วยผดุงและค้ำจุนพุทธศาสนาอ่อนแอกันเสียหมดแล้ว พุทธศาสนาในอินเดียก็เห็นทีจะสิ้นหวัง และวันแห่งความสิ้นหวังก็มาถึงพร้อมกับกองทัพมุสลิมชาวเติร์ก
เมื่อชาวมุสลิมเติร์กได้เข้ามาบุกดินแดนแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ.1700 มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเข้าใจว่าเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ พระสงฆ์จึงถูกฆ่าตายด้วยคิดว่าเป็นนักรบที่ห่มเหลือง ในบันทึกกล่าวไว้ว่า แม่ทัพมุสลิมชื่อ บักตยาร์ ขิลจิ พร้อมทหาร 200 คนบุกเข้ามายังมหาวิทยาลัยนาลันทา...... "ป้อมปราการที่นี่ช่างน่าแปลก นักรบทุกคนล้วนแต่นุ่งห่มสีเหลือง โกนหัวโล้นไม่มีอาวุธในมือ นั่งกันอยู่เป็นแถวๆ เมื่อเราไปถึงก็ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้ เมื่อเราเอาดาบฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ร้องขอชีวิต ไม่โอดครวญ"
สิ่งก่อสร้างถูกทำลาย เผาทิ้ง หอสมุดที่เก็บคำภีร์ทางศาสนาถูกเผาทั้งหมด กองทัพมุสลิมที่บุกมา หมายจะเผาทำลายไม่ให้เหลือพุทธศาสนาไว้ในแผ่นดิน ว่ากันว่า ที่นาลันทามีหอสมุดที่ใหญ่มาก ดังนั้นเมื่อถูกเผา จึงไหม้อยู่ 3 เดือนจึงเผาคำภีร์ต่างๆที่เก็บไว้ในนั้นจนหมด พระบางองค์ที่หนีรอดมาได้ก็เก็บเอาคำภีร์บางส่วนหนีออกมาด้วย แต่ก็เป็นส่วนน้อย
นับจากนั้น เมื่อนาลันทาถูกเผาทำลายย่อยยับ ศาสนาพุทธก็ได้มลายหายไปจากผืนแผ่นดินอินเดีย ที่ซึ่งให้กำเนิดศาสนานี้แก่ชาวโลก และไม่เคยกลับมารุ่งเรืองได้อีกตราบจนปัจจุบัน
* ผมไม่ได้เขียนเรื่องนี้เพื่อให้โกรธใคร แต่หวังเพียงว่าเมื่ออ่านจบแล้ว เราควรน้อมนำเรื่องราวจุดจบของนาลันทา มหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่ของโลก และการล่มสลายของพุทธศาสนาในอินเดีย ตลอดจนเรื่องราวการเสียกรุงครั้งที่สอง มาพิจารณา แล้วท่านจะพบว่า การล่มสลายนั้น ล้วนมาจากความอ่อนแอพระสงฆ์ ของพุทธบริษัท และชาวกรุงเก่านั้นเอง ** เกร็ด
มหาวิทยาลัยนาลันทา มี
- พระนักศึกษา 10,000 รูป
- อาจารย์ 1,500 คน ม
- ห้องประชุมจุคนได้มากกว่า 1,000 คน จำนวน 8 ห้อง
- ห้องเรียนมากกว่า 300 ห้อง
- ห้องเก็บคำภีร์ขนาดใหญ่ มีโรงครัว ยุ้งฉาง เก็บข้าวเองที่มา http://www.pantown.com/market.php?id=8040&name=market3&area=&topic=10&action=view