พิมพ์

[raponsan]

“ไททาน” ซูเปอร์คอมพิวเตอร์..เร็วที่สุดในโลก

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ "ไททาน" ของบริษัทเครย์ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เร็วที่สุดในโลก ด้วยความสามารถในการประมวลผล 17.59 เพตาฟล็อปส์ ต่อวินาที

วันนี้ ( 13 พ.ย. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ของบริษัทเครย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการกลางโอ๊ค ริดจ์ ของรัฐบาลสหรัฐ ได้รับการขนานนามเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ให้เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลก เอาชนะซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็ม
 
ผลการจัดอันดับโดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี และห้องปฏิบัติการกลางเดอะ ลอว์เรนซ์ เบิร์คลีย์ ของสหรัฐ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมานน์ไฮม์ ของเยอรมนี ระบุว่า

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของเครย์ ที่มีชื่อว่า “ไททาน” ทำงานด้วยระบบ เครย์ เอ็กซ์เค7
    ตั้งอยู่ภายในห้องปฏิบัติการกลางโอ๊ค ริดจ์ ในรัฐเทนเนสซี
    สามารถประมวลผลด้วยความเร็วสูงสุด 17.59 เพตาฟล็อปส์ ต่อวินาที หรือกว่า 1ล้านล้านล้านล้าน ต่อวินาที
    เครื่อง ไททาน ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานสหรัฐ เพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้านพลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการค้นคว้าด้านวิทยาศาสตร์อื่นๆ
   
    ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชื่อ “ซีคัวญา” ของไอบีเอ็ม  ตั้งอยู่ภายในห้องปฏิบัติการกลางเดอะ ลอว์เรนซ์ ริเวอร์มอร์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถประมวลผลด้วยความเร็วสูงสุด 16.32 เพตาฟล็อปส์ ต่อวินาที
    ขณะที่อันดับ 3 ได้แก่ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “เค” ของบริษัทฟูจิตสึ ตั้งอยู่ที่สถาบันวิจัยด้านความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ริเคน ในเมืองโกเบ ของญี่ปุ่น
    อันดับ 4 คือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ “มิรา” ทำงานด้วยระบบบลูจีน/คิว ของไอบีเอ็ม ตั้งอยู่ภายให้ห้องปฏิบัติการกลางดิ อาร์กอนน์ ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ และ
    อันดับ 5 ยังคงเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม ชื่อ “จูควีน” ทำงานเวยระบบบลูจีน/คิว เช่นกัน ตั้งอยู่ที่ศูนย์วิจัยยูลิช ในเยอรมนี
 
    รายงานระบุด้วยว่า ปัจจุบันมีระบบประมวลผลสำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 500 ระบบ
    แบ่งเป็น 251 ระบบอยู่ในสหรัฐ
    105 ระบบอยู่ในยุโรป และ
    123 ระบบอยู่ในเอเชีย ในจำนวนนี้ 72 ระบบอยู่ในจีน
    นอกจากนี้ หน่วยประมวลผลกลาง 76% ผลิตโดยบริษัทอินเทล
    12% ผลิตโดยบริษัทเอเอ็มดี และ 10.6% ผลิตโดยบริษัทไอบีเอ็ม...

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/world/166395